วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563

บทอุทิศ บุญ แผ่เมตตา




บทแผ่เมตตาให้แก่ตัวเราเอง
        อะหัง สุขิโต โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข)

        อะหัง นิททุกโข โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์)

        อะหัง อะเวโร โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร)

        อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง)

        สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ (ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขกายสุขใจ รักษากายวาจาใจให้พ้นจากความทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด) 


บทแผ่เมตตาไปสู่ผู่อื่น

        สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ นิททุกขา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ 

        ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงถึงความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความคับแค้นใจ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิดฯ 


บทแผ่เมตตาทั่วไป
        สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

        อะเวราโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

        อัพยาปัชฌาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

        อะนีฆาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

        สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด

คาถาแผ่ส่วนกุศลแผ่เมตตาทั่วไป

        อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร 

        ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่มารดา บิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดา บิดาของข้าพเจ้ามีความสุข

        อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย 

        ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้ามีความสุข

        อิทัง เม คุรูปัชฌายาจริยานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา 

        ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้ามีความสุข

        อิทัง สัพพะเทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเทวา 

        ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข
  
        อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา 

        ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข

        อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี 

        ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข
  
        อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา 

        ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีความสุขทั่วหน้ากันเทอญ

บทกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร

 ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเจริญภาวนานี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ท่านจะอยู่ภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วโปรดอโหสิกรรม และอนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้า ด้วยอำนาจบุญนี้ด้วยเทอญ

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2563

โพชฌงคปริต


บทสวดโพชฌงคปริตร (สวดให้ตัวเอง)

โพชฌังโคสะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา วิริยัมปีติปัสสัทธิ โพชฌังคา จะตะถาปะเร
 สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเตเต สัพพะทัสสินา มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวิตา พะหุลีกะตา สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เม โหตุ สัพพะทาฯ

เอกัสะมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง คิลาเน ทุกขิเต ทิสะวา โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ เต จะ ตัง อะภินันทิตะวาโรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เม โหตุ สัพพะทาฯ

เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปตะวานะ สาทะรัง สัมโมทิตะวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส เอเตนะ สัจจะวัชเชนะโสตถิ เม โหตุ สัพพะทาฯ

ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง มัคคาหะตะกิเลสาวะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะโสตถิ เม โหตุ สัพพะทาฯ

คำแปล

โพชฌงค์ 7 ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ 7 ประการเหล่านี้ เป็นธรรมอันพระมุนีเจ้า ผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้า ตลอดกาลทุกเมื่อ

ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้า ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะ และพระมหากัสสปะเป็นไข้ ได้รับความลำบาก จึงทรงแสดงโพชฌงค์ 7 ประการ ให้ท่านทั้งสองฟัง ท่านทั้งสองนั้น ชื่นชมยินดียิ่ง ซึ่งโพชฌงคธรรม โรคก็หายได้ในบัดดล
ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้า ตลอดกาลทุกเมื่อ

 ในครั้งหนึ่ง องค์พระธรรมราชาเอง (พระพุทธเจ้า) ทรงประชวรเป็นไข้หนัก รับสั่งให้พระจุนทะเถระ กล่าวโพชฌงค์นั้นนั่นแลถวายโดยเคารพ ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายจากพระประชวรนั้นได้โดยพลัน ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้า ตลอดกาลทุกเมื่อ

 ก็อาพาธทั้งหลายนั้น ของพระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ทั้ง ๓ องค์นั้น หายแล้วไม่กลับเป็นอีก ดุจดังกิเลส ถูกอริยมรรคกำจัดเสียแล้ว ถึงซึ่งความไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้า ตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ


วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

อาการ ๓๒


(นำ) หันทะ มะยัง ทะวัตติงสากา. ระปาฐัง ภะณามะเส ฯ

   อะยัง โข เม กาโย กายของเรานี้แล

อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา

อะโธ เกฐะมัตถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป

ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ

ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาด

มีประการต่างๆ

อัตถิ อิมัสสะมิง กาเย มีอยู่ในกายนี้



๑.เกสา ผมทั้งหลาย

๒.โลมา ขนทั้งหลาย

๓.นะขา เล็บทั้งหลาย

๔.ทันตา ฟันทั้งหลาย

๕.ตะโจ หนัง

๖.มังสัง เนื้อ

๗.นะหารู เอ็นทั้งหลาย

๘.อัฏฐี กระดูกทั้งหลาย

๙.อัฏฐิมิญชังเยื่อในกระดูก

๑๐.วักกัง ม้าม

๑๑.หะทะยัง หัวใจ

๑๒. ยะกะนัง ตับ

๑๓.กิโลมะกัง พังผืด

๑๔.ปิหะกัง ไต

๑๕.ปัปผาสัง ปอด

๑๖.อันตัง ไส ้ใหญ่

๑๗.อันตะคุณัง ไส้น้อย

๑๘.อุทะริยัง อาหารใหม่

๑๙.กะรีสัง อาหารเก่า

๒๐. ปิตตัง น้ำดี

๒๑.เสมหัง น้ำเสลด

๒๒. ปุพโพ น้ำเหลือง

๒๓.โลหิตัง นำเลือด

๒๔.เสโท น้ำเหงื่อ

๒๕.เมโท น้ำมันข้น

๒๖.อัฐสุ น้ำตา

๒๗.วะสา น้ำมันเหลว

๒๘.เขโฬ น้ำลาย

๒๙.สิงฆาณิกา น้ำมูก

๓๐.ละสิกา น้ำไขข้อ

๓๑.มุตตัง น้ำมูตร

๓๒.มัตถะเก มัตถะลุงคัง เยื่อในสมอง


   อะยัง โข เม กาโย กายของเรานี้อย่างนี้

อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา

อะโธ เกสะมัตถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป

ตะจะ ปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ

ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สัอาด

มีประการต่างๆ อย่างนี้แลฯ

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561

คาถาต่อชะตาอายุ (อุณหิสสะวิชะยะ)


        คาถาสืบชะตา-ต่ออายุ (อุณหิสสะวิชะยะ)
                     
                       อุณหิสสะวิชะยะคาถา
  อัตถิ อุณหิสสะ วิชะโย ธัมโม โลเก อะนุตตะโร สัพพะสัตตะหิตัตถายะ ตัง ตวัง คัณหาหิ เทวะเต ปะริวัชเช ราชะทัณเฑ อะมะนุสเสหิ ปาวะเก พะยัคเฆ นาเค วิเส ภูเต อะกาละมะระเณนะ วา สัพพัสมา มะระณา มุตโต ฐะเปตวา กาละมาริตัง ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา สุทธะสีลัง สะมาทายะ ธัมมัง สุจะริตัง จะเร ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา ลิกขิตัง จินติตัง ปูชัง ธาระณัง วาจะนัง คะรุง ปะเรสัง เทสะนัง สุตวา ตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะตีติ..

   พระคาถาบทนี้ อยู่ในสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเมตตาให้เทวดาองค์หนึ่งที่กำลังหมดอายุขัย จะต้องลงไปเสวยกรรมในนรก แต่เทวดาองค์นี้ มีความกลัวมากที่จะต้องลงไปเกิดใน เมืองนรกจึงดิ้นรนทุกวิถีทาง ที่จะไม่ไปแต่ก็ไม่มีใครจะช่วยเหลือได้ แม้แต่องค์ พระอินทร์ แต่ยังโชคดีที่ได้พบพระพุทธเจ้า และทรงแนะให้ภาวนาคาถาบทนี้ จะได้มีอายุยืนยาวนานต่อไป เพื่อที่จะได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ บำเพ็ญภาวนา ใช้หนี้กรรมที่มีอยู่ ให้หมดไป
พระคาถาบทนี้ จึงมีพุทธานุภาพมาก ในเรื่องของการมีอายุยืนยาวและยังทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างง่าย ๆ อีกด้วย ผู้ที่มีสุขภาพไม่ดี หรือขี้โรค หรือป่วยเป็นโรคที่รักษายากแล้ว ควรหมั่นท่องภาวนาเป็นประจำ จะหายได้โดยเร็ววัน

คาถาพระอุณหิสสวิชัย ผู้ใดเขียนไว้ก็ดี นึกอยู่ในใจก็ดี ทำสักการะบูชาก็ดี ท่องบ่นทรงจำไว้ก็ดี หรือได้สวดภาวนาเช้า-ค่ำก็ดี หรือได้สดับรับฟังพระธรรมเทศนาอันผู้อื่นสำแดงก็ดี ล้วนล้วนสามารถคุ้มครองป้องกัน อกาลมรณะ ไม่ต้องตายในวัยเด็ก วัยหนุ่ม วัยสาว และมีอายุยืนยาวถึงแก่เฒ่า มีสติไม่หลงตาย”

............................................................................
                   อานิสงส์คาถาอุณหิสสวิชัย
     ในสมัยหนึ่งพระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่เหนือพระแท่นศิลาอาสน์ภายใต้ต้นปาริกชาติ ณ ดาวดึงสพิภพ ตรัสพระสัทธรรม เทศนา อภิธรรม 7 คัมภีร์ โปรดพุทธมารดา

     ในกาลครั้งหนึ่งนั้นมีเทพบุตรองค์หนึ่ง นามว่าสุปติฏฐิตา ได้เสวยทิพย์สมบัติอยู่ชั้นดาวดึงส์มาช้านาน ก็อีก 7 วัน จะสิ้นบุญจุติจากดาวดึงส์ ลงไปอุบัติในนรกเสวยทุขเวทนาอยู่ตลอดแสนปี ครั้นสิ้นกรรมในนรกนั้นแล้วก็จะไปบังเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน 7 จำพวก เสวย วิบากกรรมอยู่ 500 ชาติ ทุกๆจำพวก

     ยังมีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อว่า อากาสจารินี ซึ่งเป็นผู้รู้ บุรพกรรมของสุปติฏฐิตาเทพบุตร อาศัยความคุ้นเคยสนิทสนมกลมเกลียวกันตั้งแต่ครั้งเป็นมนุษย์ เคยได้รักษาอุโบสถศีลด้วยกันในอดีตชาติล่วงมาแล้ว มองเห็นอกุศลกรรมตามทัน จะสนองผลแก่สหายของตนก็มีจิตปรานีใคร่จะอนุเคราะห์

     จึงเข้าไปสู่สำนักของสุปติฏฐิตาเทพบุตร แล้วก็บอกเหตุที่จะสิ้นอายุภายในอันเร็ว ๆ นี้ ตลอดทั้งที่จะไปเกิดในนรก ครั้งพ้นจากนรกแล้ว จะต้องไปกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานให้ทราบสิ้นทุกประการ

    ฝ่ายสุปติฏฐิตาเทพบุตร ได้ทราบเหตุดังนั้นแล้ว ก็มีความสะดุ้งตกใจกลัว คิดปริวิตก บุพพนิมิต 4 ประการ คือ
    - ดอกไม้ทิพย์ร่วงโรย ประการหนึ่ง
    - สรีระ ร่างกายมัวหมองไม่ผ่องใส ประการหนึ่ง
    - ผ้าทิพย์ภูษา เครื่องทรงเศร้าหมองไม่ผ่องใส ประการหนึ่ง
    - ครั้งทรงผ้าสไบเข้าก็ร้อนกระวนกระวายไปประการหนึ่ง

    บุพพนิมิตเหล่านี้ก็ปรากฏแก่สุปติฏฐิตาเทพบุตร บุพพนิมิต  4 ประการนี้ ปรากฏแก่เทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดแล้ว เทพบุตรธิดาองค์นั้น จะต้องจุติจากเทวโลกอย่างแน่นอน

    เมื่อ สุปติฏฐิตาเทพบุตร ทราบชัดเจนเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่นิ่งนอนใจใคร่จะหาเครื่องป้องกัน จึงเข้าไปสู่สำนักท้าวอเมรินทราธิราชเจ้า ถวายอภิวาทแล้วกราบทูลเหตุการณ์ให้ทรงทราบ แล้วทูลอ้อนวอนขอชีวิตในสำนักอมรินทร์โดยอเนกปริยาย

        ท้าวเธอตรัสตอบว่า ชื่อว่าความตายนี้เราเห็นผู้ใหญ่ในสรวงสวรรค์ ก็ไม่อาจห้ามบุพพกรรมอันมีกรรมแรงนี้ได้ เราเห็นอยู่แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลกทั่ว 3 ภพ พระองค์เสด็จประทับอยู่ใต้ต้นปาริกชาติ มาเราจะพาเข้าเฝ้ากราบทูลอาราธนา ให้พระองค์ทรงช่วยเหลือ

    สุปติฏฐิตาเทพบุตร ถือเครื่องสักการบูชาตามเสด็จท้าวอมรินทราธิราช เข้าสำนักพระมหามุนีนาถพระศาสดาจารย์แล้ว กราบทูลเหตุการณ์เหล่านั้น ให้พระองค์ทรงทราบโดยสิ้นเชิง แล้วพระองค์ทรงแสดงบุพพกรรมของ สุปติฏฐิตาเทพบุตร องค์นี้เกิดเป็นมนุษย์มีความเห็นผิด เป็นผู้ประมาทตั้งอยู่ในมิจฉาทิฏฐิเป็นพรานฆ่าเนื้อเบื่อปลาเป็นผู้มีใจแข็งกระด้าง ตบตีบิดามารดาต่อสมณชีพราหมณ์ ไม่ลุกรับนิมนต์ให้อาสนะที่นั่งภิกษุสงฆ์ผู้เข้าไปสู่สำนัก แม้เห็นแล้วก็ทำเป็นไม่เห็นเสีย

        ด้วยวิบากผลอกุศลกรรมอันนี้ตามทันเข้า สุปติฏฐิตาเทพบุตรจึงได้ไปเกิดในนรกตลอดแสนปี ครั้นพ้นจากนรกขึ้นมาก็จะไปกำเนิดแห่งสัตว์ 7 จำพวก คือเป็นแร้ง เป็นรุ้ง เป็นกา เป็นเต่า เป็นหนู เป็นสุนัข และเป็นคนหูหนวกตาบอดอย่างละ 500 ชาติ ด้วยอำนาจอกุศลกรรมนั้นแหละ
ขอมหาบพิตรจงทราบด้วยประการฉะนี้

    เมื่อท้าวอมรินทร์ทรงทราบแล้ว ก็มีความเมตตาสงสารแก่สุปติฏฐิตาเทพบุตร ยิ่งนัก จึงกราบทูลให้พระองค์ทรงแสดงพระสัจธรรมเทศนาอันจะเป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลก ช่วยชีวิตเทพบุตรองค์นี้ไว้ไม่ให้ตายลงภายใน 7 วันนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสเทศนาคาถาอุณหิสสวิชัย มีใจความดังต่อไปนี้

                          อุณหิสสะวิชะยะคาถา
        อัตถิ  อุณหิสสะ  วิชะโย      ธัมโม  โลเก  อะนุตตะโร
        สัพพะสัตตะหิตัตถายะ        ตัง  ตวัง  คัณหาหิ  เทวะเต
        ปะริวัชเช  ราชะทัณเฑ        อะมะนุสเสหิ  ปาวะเก
        พะยัคเฆ   นาเค  วิเส   ภูเต     อะกาละมะระเณนะ  วา
        สัพพัสมา  มะระณา  มุตโต     ฐะเปตวา  กาละมาริตัง
        ตัสเสวะ  อานุภาเวนะ              โหตุ  เทโว  สุขี   สะทา
        สุทธะสีลัง  สะมาทายะ           ธัมมัง สุจะริตัง  จะเร
        ตัสเสวะ  อานุภาเวนะ              โหตุ  เทโว สุขี  สะทา
        ลิกขิตัง  จินติตัง ปูชัง               ธาระณัง  วาจะนัง คะรุง
        ปะเรสัง  เทสะนัง  สุตวา          ตัสสะ  อายุ  ปะวัฑฒะตีติ

    เทวเต ดูกรเทวดาทั้งหลาย พระธรรมนี้ชื่อว่าอุณหิสสวิชัย เป็นยอดแห่งพระธรรมทั้งหลายเป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งมวล ท่านจงเอาพระธรรมนี้เป็นที่พึ่ง อุตสาห์สวดบ่นสาธยายทุกเช้าค่ำ ย่อมห้ามเสียซึ่งภัยทั้งปวง อันจะเกิดขึ้นจากผีปิศาจหมู่พยัคฆะงูใหญ่น้อย และพญาเสนาอำมาตย์ทั้งหลายจะไม่ตาย ผู้ใดได้เขียนไว้ก็ดี ได้ฟังก็ดี ได้สวดมนต์ภาวนาอยู่ทุกวันก็ดี จะมีอายุยืน เทวเต ดูกรเทวดา ทั้งหลายท่านจงมีความสุขเถิด

      อนึ่งบุคคลผู้ใดบูชาแก้วทั้ง 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เป็นยาอันอุดม ย่อมคุ้มครองผู้นั้นให้พ้นจากทุกข์ภัยพยาธิทั้งปวง ด้วยอำนาจพระอุณหิสสวิชัยนี้ จะรักษาคุ้มครองให้ชีวิตของท่านเจริญสืบต่อไป ท่านจงรักษาไว้ให้มั่นอย่าให้ขาดเถิด เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนาลง เทวดาทั้งหลายมีท้าวอมรินทร์เป็นประธานได้ดื่มรสแห่งพระสัทธรรมเป็นอันมาก

     ฝ่ายสุปติฏฐิตาเทพบุตร มีจิตน้อมไปตามกระแสแห่งพระธรรมเทศนานั้น ได้กลับอัตตภาพใหม่ คือ มีกายอันผ่องใส เป็นเทวบุตรหนุ่มคืนมาแล้วจะมีอายุยืนตลอดไปถึงพระพุทธพระนามว่า ศรีอริยเมตไตรยลงมาตรัสจึงจะจุติจากเทวโลกลงมาสู่มนุษย์โลก เป็นพระอรหันตขีณาสวะองค์หนึ่ง ดังนั้นขอพุทธบริษัททั้งหลาย จงสำเนียกไว้ในใจแล้วประพฤติปฏิบัติในพระคาถา อุณหิสสวิชัย ก็จะสมมโนมัยตามความปรารถนาทุกประการ

แนะนำ :-
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
จวมานสูตร

ที่มา  84000.org

พระคาถาต่ออายุ ฉบับหลวงปู่สรวง

หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง

                          คำบูชาหลวงปู่สรวง
โยโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา กันตุยธูป กันตุยเตียน กันตุยมะมาย อากู อากู
                           
                     พระคาถาต่ออายุ
            (ฉบับหลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน)

อิติปิ โส ภะคะวา พระอาทิตย์เทวา วิญญาณะสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พระจันทร์เทวา วิญญาณะสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พระอังคารเทวา วิญญาณะสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พระพุธเทวา วิญญาณะสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พระพฤหัสเทวา วิญญาณะสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พระศุกร์เทวา วิญญาณะสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พระเสาร์เทวา วิญญาณะสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา พระเกตุเทวา วิญญาณะสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง
อิติปิ โส ภะคะวา สัมมา สัมพุทโธ
อิติปิ โส ภะคะวา วิชาจะระณะสัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สุคะโต
อิติปิ โส ภะคะวา โลกะวิทู
อิติปิ โส ภะคะวา อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
อิติปิ โส ภะคะวา สัตถา เทวะมะนุสสานัง
อิติปิ โส ภะคะวา พุทโธ
อิติปิ โส ภะคะวา ภะคะวา ภะคะวาติ

ที่มาของพระคาถา
พระคาถาต่ออายุฉบับดังกล่าว คัดลอกมาจากหนังสือสวดมนต์ที่หลวงปู่ได้มอบไว้ให้ เมื่อประมาณเดือน กรกฎาคม ๒๕๔๓ ที่บ้านตะเคียนราม บ้านเลขที่ ๕๒ หมู่ ๑๔ ต. ตะเคียนราม อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ และประกอบกับหลวงปู่ได้ขอที่จะมาอยู่ด้วยที่บ้านหลังนี้ เพื่อให้หายจากอาการป่วยของหลวงปู่ และตัวผู้รับหนังสือ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคาถาดังกล่าวหมายถึงอะไร?

หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง อีสานใต้
อริยะสงฆ์ผู้อยู่เหนือกาลเวลา 500 พรรษา หลวงปู่สรวงท่าน สงบเงียบ พูดน้อย รักความสันโดษ จึงไม่ค่อยมีใครรู้ถึงความเป็นมาของหลวงปู่สรวง แต่ชาวบ้านจะรู้จักท่านในรูปของนักบวชเชื้อสายเขมร ธุดงค์ตามเทือกเขาพนมดงรัก ข้ามไปมาระหว่าง 2 ประเทศ ชาวบ้านเรียกขานท่านตามภาษาเขมรว่า “ลูกเอ๊าะเบ๊าะ” หรือ “ลูกตาเบ๊าะ” หมายถึง พระดาบสผู้รักษาศีลและมีเมตตาธรรมสูง แต่คนไทยเรียก “หลวงปู่สรวงเทวดาเดินดิน”
ปัจจุบันท่านได้ละสังขารนอนนิ่งอยู่ที่โลงแก้ว วัดไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ โดยท่านละสังขารวันที่ 8 กันยายน 2543

วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พระพุทธเจ้า 28 พระองค์​



นะโม เม สัพพะพุทธานังอุปปันนานัง มะเหสินัง
๑. ตัณหังกะโร มะหาวีโร.
๒. เมธังกะโร มะหายะโส
๓. สะระณังกะโร โลกะหิโต
๔. ทีปังกะโร ชุตินธะโร
๕. โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข
๖. มังคะโล ปุสิสาสะโก
๗. สุมะโน สุมะโน ธีโร
๘. เรวะโต ระติวัฑฒะโน
๙. โสภิโต คุณสัมปันโน
๑๐. อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม
๑๑. ปะทุโม โลกะปัชโชโต
๑๒. นาระโท วาระสาระถี
๑๓. ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร
๑๔. สุเมโธ อัปปะฏิบุคคะโล
๑๕. สุชาโต สัพพะโลกัคโค
๑๖. ปิยะทัสสี นะราสะโภ
๑๗. อัตถะทัสสี การุณิโก
๑๘. ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท
๑๙. สิทธัตโถ อะสะโม โลเก
๒๐. ติสโส จะ วะทะตัง วาโร
๒๑. ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ
๒๒. วิปัสสี จะ อะนูปะโม
๒๓. สิขี สัพพะหิโต สัตถา
๒๔. เวสสะภู สุขะทายะโก
๒๕. กะกุสันโธ สัตถะวาโท
๒๖. โกนาคะมะโน ระณัญชะโห
๒๗. กัสสะโป สิริสัมปันโน
๒๘. โคตะโม สักยะปุงคะโว
เตสาหัง สิระทา ปาเท วันทามิ ปุริสัตตะเม วะจะสา
มะนะสา เจวะ วันทาเมเต ตะถาคะเต สะยะเน
อาสะเน ฐาเน คะมะเน จาปิ สัพพะทา 

สวดแบบย่อ
 ตัณ เม สะ ที โก มัง สุ เร โส อะ ปะ นา ปะ สุ สุ ปิ
อะ ธะ สิ ติ ปุ วิ สิ เว กุ โก กะ โค นะมามิหัง




วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2560

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (แบบย่อ)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (ว่าสามจบ)

      เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง  วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ฯ ตัตระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ

   เทวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ  นะ เสวิตัพพา โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต โย จายัง  อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต ฯ

เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ

      มัชฌิมา ปะฏิปะทา  ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

       กะตะมา จะ สา ภิกขะเว
      มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถา คะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

      อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต  สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ

    อะยัง โข สา ภิกขะเว
    มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี   อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

     อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง ฯ ชาติปิ  ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะ ทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข  ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ฯ

     อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว  ทุกขะสะมุมะโย อะริยะสัจจัง ฯ ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตระ ตัตราภิ นันทินี ฯ เสยยะถีทัง ฯ  กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา ฯ

     อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง ฯ โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ  อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย ฯ

      อิ ทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะ สัจจัง ฯ

     อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ (หยุด)

     อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ  อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก  อุทะปาทิ ฯ

     ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง  อุทะปาทิญานัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ

     ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญาอุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ

    อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว  ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก  อุทะปาทิ ฯ

    ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ  อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก  อุทะปาทิ ฯ

    ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุมะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ  ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

    อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว  ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ฯ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก  อุทะปาทิ ฯ

    ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ  ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

    ตัง โข ปะนิทัง  ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ  ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

    อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ  เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ  อาโลโก อุทะปาทิฯ

    ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว  ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

    ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ  ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ

    ยาวะกีวัญจะ
    เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ  เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ

     เนวะ ตาวาหัง
    ภิกขะเว  สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง ฯ

     ยะโต จะ โข
    เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ  เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ

     อะถาหัง
    ภิกขะเว  สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง ฯ

     ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ ฯ

     อิทะมะโว จะ ภะคะวา ฯ อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง ฯ  อิมัสมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสมิง ภัญญะมาเน อายัสมะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง  อุทะปาทิ ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ ฯ

    ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก ภุมมา เทวา  สัททะมะนุสสาเวสุง
    เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง  อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ ฯ (หยุด)

     ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา

  จาตุมมะหาราชิกา  เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา

  ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา

  ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
ยามานัง เทวานัง สัททัง สุตวา

  ตุสิตา  เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา

  นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา  

  ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา

 พรัหมะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง

   เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง  อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ ฯ (หยุด)

     อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ  พรัหมะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิฯ อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิฯ อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง ฯ

     อะถะโข ภะคะวา  อุทานัง อุทาเนสิ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติ ฯ

     อิติหิทัง อายัสมะโต โกณฑัญญัสสะ อัญญาโกณฑัญโญ เตววะ นามัง อะโหสีติ ฯ

บทอุทิศ บุญ แผ่เมตตา

บทแผ่เมตตาให้แก่ตัวเราเอง         อะหัง สุขิโต โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข)         อะหัง นิททุกโข โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความท...